ลิลิต ญาณิน
เป็นผู้หญิงที่เติบโตมากับหลากหลายวัฒนธรรม ความเชื่อ และประสบการณ์
ซึ่งทั้งหมดล้วนถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันภายใต้ความรู้สึกขอบคุณ
และความสงสัยใคร่รู้อย่างไม่หยุดนิ่ง
เธอเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงทศวรรษ 2520 ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันจากสองสายครอบครัว
สายหนึ่งมีความมุ่งมั่นทางธุรกิจการค้า ส่วนอีกสายหนึ่งเข้มข้นไปด้วยความมีระเบียบแบบทหาร
โดยทั้งสองใช้พื้นฐานจากคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาทในการดำเนินชีวิต
สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานของชีวิตลิลิตที่ขับเคลื่อนด้วยการพิจารณาและการเรียนรู้ภายในให้ได้ถ่องแท้

การศึกษาของเธอกลับเริ่มต้นในโรงเรียนคาทอลิกเอกชน
ที่ซึ่งระเบียบวินัยของการอยู่ร่วมกันในสังคมได้ถูกถ่ายทอดควบคู่ไปกับวิชาการ ความอบอุ่นและความเมตตา
ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงช่วงมัธยม เธอใช้ชีวิตท่ามกลางกรอบวิชาการที่เข้มข้นไปพร้อมๆกับการค้นหาทางจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง
เธอเริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่อายุสิบปี
และการนั่งนิ่งอยู่กับตนเองก็กลายเป็นที่พักใจท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตประจำวัน
เมื่ออายุสิบห้า ความสนใจทางจิตวิญญาณได้พาเธอไปสู่พุทธมหายาน
และวิถีชีวิตแบบวีแกน ซึ่งทำให้เธอเปิดมุมมองต่อความเมตตาและความเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
ต่อมา เธอได้พบกับความอบอุ่นของชุมชนคริสเตียนนิกายเพรสไบทีเรียน ซึ่งได้ช่วยเติมเต็มมุมมองด้านศรัทธาและความรักต่อสิ่งที่เธอเรียกว่าพลังเบื้องหลังชีวิต เส้นทางการศึกษาได้นำเธอข้ามพรมแดน
เธอศึกษาด้านการสื่อสารมวลชนที่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ก่อนจะกลับมาสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีด้านวรรณคดีอังกฤษที่กรุงเทพฯ
ประสบการณ์ทางวิชาการเหล่านี้ทำให้เธอเชื่อมั่นในสิ่งหนึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า
ชีวิตนั้นไม่ได้แยกขาดจากกันอย่างที่เราคิด
หากแต่ปรากฏออกมาในรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน และตลอดเส้นทางนั้น ลิลิตเธอก็ไม่เคยสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด
ความสูญเสีย และการทรยศได้เลย แน่นอนที่สุด สิ่งเหล่านี้ทิ้งรอยไว้กับหัวใจของเธอ
การจากไปของสามีคนแรกคือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้เธอกลับมาพิจารณาเรื่องของความรักความสัมพันธ์และเป้าหมายในการดำรงชีวิตด้วยสายตาและมุมมองใหม่ใหม่
ในช่วงเวลาเหล่านั้น การทำสมาธิและความเชื่อทางจิตวิญญาณได้กลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจองลิลิตอย่างเงียบๆ
และเป็นแสงสำคัญในการนำทางท่ามกลางความไม่แน่นอน
เส้นทางการทำงานของเธอเองก็เป็นไปอย่างพลิกแพลงและยืดหยุ่นมาก
ลิลิตเริ่มต้นอาชีพแรกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
และซื้อบ้านหลังแรกของตัวเองตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ด หลังจากการจากไปของสามี
งานสอนภาษาอังกฤษกลายเป็นสิ่งที่เธอให้ความสำคัญมากขึ้น แบ่งเวลาให้กับการสอนแบบพาร์ทไทม์และการทำงานในธนาคารแบบเต็มเวลา
จนในที่สุดลิลิตก็เลือกทุ่มเทให้กับงานด้านการศึกษาอย่างเต็มตัว ในเวลาหลายปีต่อมา
ความสนใจในเรื่องการเงินได้ขยายตัวขึ้น เธอจึงตัดสินใจศึกษาต่อ
และสำเร็จการศึกษาระดับธุรกิจมหาบัญฑิต สาขาการเงินจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน การศึกษาในด้านนี้ช่วยให้เธอนำความสามารถเชิงวิเคราะห์มาผสมผสานกับประสบการณ์ชีวิต
เพื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ลึกกว่ารูปลักษณ์ภายนอก
เส้นทางจิตวิญญาณของลิลิตได้พาเธอเดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกา
และในที่สุดคือแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ ในแต่ละสถานที่
เธอได้เรียนรู้บางสิ่งที่แตกต่างกันออกไป
เธอเคยใช้ชีวิตในผ้ากาสาวพัสตร์ตามแนวทางของพระพุทธศาสนาเถรวาท
ศึกษาแนวศาสนาฮินดูสายไศวะ และในปี 2566 เธอกลับมาเชื่อมต่อกับสิ่งที่เธอเรียกว่า
ผู้สร้างผ่านการทำสมาธิที่เป็นไปอย่างเงียบสงบ
แม้คำตอบที่เธอพบจะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
แต่ความเชื่อหนึ่งที่ยังคงมั่นคงในหัวใจของเธอ
คือความเข้าใจว่าแต่ละคนคือการปรากฏขึ้นของจิตที่ไม่มีประมาณ
และชีวิตของเราแต่ละชีวิตต่างก็มีคุณค่าในแบบที่มันเป็น ลิลิตมองว่าความท้าทายของชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
แต่เป็นประตูที่เปิดไปสู่ความเข้าใจในตัวเองอย่างแท้จริง เราไม่จำเป็นต้องทำให้ใจปิดกับประสบการณ์ที่ไม่ดีหรือยาก
หากเราควรยอมให้มันกลายเป็นครู
เธอเชื่อว่าชีวิตของมนุษย์คือความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างผู้คน ธรรมชาติ
และกับสิ่งที่มองไม่เห็น และความสัมพันธ์เช่นนี้ คือแหล่งของความหมายที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์
แนวทางหนึ่งที่ลิลิตถือมั่นมาโดยตลอด
คือการดูแลตัวเองให้เติบโตไปพร้อมๆกับการเปิดทางให้ผู้อื่นได้เติบโตในแบบของแต่ละคนเองด้วย
ลิลิตใช้หลักนี้กับทุกสิ่งที่เธอทำ ไม่ว่าจะในการเขียน การสอน หรือแม้แต่ในแต่ละวันแต่ละชั่วโมงและนาทีของชีวิต
และเธอย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่า ชีวิตของแต่ละคนมีค่า เมื่อเราดำเนินชีวิตนั้นอย่างจริงใจและซื่อสัตย์ต่อตน
ทุกชีวิตจะเปล่งแสงออกมาในแบบเฉพาะของตนเอง
0 comments