บทความนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อโต้แย้งหรือลบหลู่ความเชื่อทางศาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นความพยายามที่จะมองคำถามเก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ “พระเจ้าคือผู้สร้างจริงหรือ?” ด้วยสายตาของวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว
ในที่นี้ คำว่า “วิทยาศาสตร์”
หมายถึงระบบความรู้ที่ตั้งอยู่บนการสังเกต การทดลอง
และหลักฐานที่สามารถตรวจสอบได้ซ้ำ ไม่ใช่ความเชื่อหรือการตีความเชิงศรัทธา
เราจะไม่อ้างถึงคำสอน ศาสดา หรือคำภาวนาใด ๆ
แต่จะพิจารณาเฉพาะสิ่งที่ธรรมชาติแสดงให้เห็นผ่านกฎฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา
และจักรวาลวิทยาเท่านั้น
คำถามเรื่องผู้สร้างมักถูกตั้งขึ้นเมื่อมนุษย์พยายามอธิบายความซับซ้อนของโลกและชีวิต แต่เมื่อมองผ่านกรอบวิทยาศาสตร์ คำถามนี้แปรเปลี่ยนเป็นอีกประโยคหนึ่ง คือ “จักรวาลสามารถสร้างตัวเองได้หรือไม่?” และนั่นคือจุดที่ข้อมูลเชิงประจักษ์เริ่มเข้ามามีบทบาท
สิ่งที่ผู้อ่านจะได้จากบทความนี้ไม่ใช่คำตอบที่เด็ดขาด
แต่เป็นหลักฐานและแนวคิดที่มนุษย์ใช้ในการทำความเข้าใจจักรวาลโดยไม่พึ่งพาความเชื่อทางศาสนา
วิทยาศาสตร์ไม่ได้พยายามลบล้างศรัทธา
มันเพียงพยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเหตุและผล
ขอให้ผู้อ่านเปิดใจและวางความเชื่อไว้ชั่วคราว
เพื่อให้เหตุผลและข้อมูลได้ทำงานเต็มที่
บางทีคำตอบที่แท้จริงอาจไม่อยู่ในศรัทธาหรือหลักฐานเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่อยู่ในการที่เรากล้าตั้งคำถามอย่างซื่อสัตย์ที่สุด
จุดเริ่มของคำถาม
มนุษย์เงยหน้ามองท้องฟ้ามานานเท่ากับที่มีประวัติศาสตร์ของความคิด
คำถามหนึ่งที่ไม่เคยจางหายคือ “จักรวาลเกิดขึ้นได้อย่างไร?” และหากไม่มีผู้สร้างที่อยู่เบื้องหลัง
“แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
คำถามนี้เป็นรากของทั้งศรัทธาและวิทยาศาสตร์
เป็นแรงผลักดันให้เราออกสำรวจความจริงของโลกทั้งภายนอกและภายในจิตใจ
ในอดีต
การมองว่ามีผู้สร้างเป็นคำตอบที่เรียบง่ายและสบายใจที่สุด
เพราะความซับซ้อนของธรรมชาติดูยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ
แต่เมื่อวิทยาศาสตร์เริ่มมองจักรวาลด้วยเครื่องมือของการสังเกตและคณิตศาสตร์
มนุษย์พบว่าธรรมชาติมีกฎของมันเอง กฎที่ไม่ต้องอาศัยเจตนาหรือแผนการจากภายนอก
จุดเริ่มของความเข้าใจใหม่นี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ยี่สิบ
เมื่อหลักฐานทางดาราศาสตร์จำนวนมากชี้ไปยังแนวคิดที่เรารู้จักกันในชื่อ ทฤษฎีบิกแบง
ตามแนวคิดนี้
จักรวาลทั้งหมดในช่วงแรกไม่ได้มีดาวหรือกาแลกซี
มันเป็นสภาวะพลังงานหนาแน่นสูงมากและร้อนยิ่งยวด
จากนั้นจึงเริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็วเมื่อประมาณ 13.8 พันล้านปีก่อน
คำว่า “บิกแบง” ไม่ได้หมายถึงการระเบิดในอวกาศ
แต่คือการขยายตัวของอวกาศเอง พื้นที่ที่เราเรียกว่า “ว่างเปล่า”
ในปัจจุบันเคยอัดแน่นด้วยพลังงานมหาศาล และยังคงขยายตัวมาจนถึงทุกวันนี้
หลักฐานที่สนับสนุนแนวคิดนี้คือการตรวจพบ การเลื่อนสีแดงของแสงจากกาแลกซี ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากาแลกซีทั้งหมดกำลังเคลื่อนห่างจากกัน
นั่นหมายความว่าครั้งหนึ่งมันต้องเคยอยู่ใกล้กันมาก
อีกหลักฐานหนึ่งคือ รังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล ซึ่งเป็นพลังงานหลงเหลือจากยุคแรกของเอกภพ
แผ่กระจายอย่างสม่ำเสมอในทุกทิศทาง คล้ายเสียงสะท้อนจาง ๆ
จากการเริ่มต้นครั้งแรกของเวลา
รังสีนี้คือร่องรอยของช่วงเวลาที่เอกภพเย็นลงจนแสงสามารถเดินทางได้อย่างอิสระ
เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าจักรวาลเคยอยู่ในสภาวะร้อนและหนาแน่นจริง
เมื่อย้อนกลับไปจนถึงช่วงใกล้ “ศูนย์เริ่มต้น”
ฟิสิกส์แบบดั้งเดิมเริ่มล้มเหลวในการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น
พลังงานและความหนาแน่นสูงเกินกว่ากฎของแรงโน้มถ่วงของไอน์สไตน์จะอธิบายได้
นักฟิสิกส์เรียกจุดนี้ว่า “เอกฐาน”
ซึ่งหมายถึงภาวะที่คณิตศาสตร์ไม่สามารถบรรยายได้ แต่แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด
สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ การขยายตัวของเอกภพไม่จำเป็นต้องมีการผลักดันจากภายนอก
เพราะพลังงานของมันเองสามารถทำให้เกิดการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่น่าสนใจคือ
ฟิสิกส์ควอนตัมได้เพิ่มมุมมองใหม่ให้กับคำถามนี้ ในระดับเล็กที่สุดของธรรมชาติ
พลังงานไม่ได้คงที่ตลอดเวลา แต่จะเกิดการกระเพื่อมเล็ก ๆ อยู่เสมอ ซึ่งเรียกว่า พลังงานสูญญากาศ ภาวะนี้ทำให้อนุภาคและพลังงานสามารถผุดขึ้นและหายไปในช่วงเวลาสั้นมากโดยไม่ละเมิดกฎของธรรมชาติใด
ๆ
จากการคำนวณทางทฤษฎี
พบว่าพลังงานสูญญากาศนี้มีศักยภาพที่จะก่อให้เกิด “การขยายตัวแบบพองตัว” หรือ inflation ได้
ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาแรกเริ่มของจักรวาลก่อนการขยายตัวตามแบบที่เรารู้จัก
มันคือการพองตัวของอวกาศเองในระดับที่เล็กกว่าขนาดของอะตอม
เกิดจากการเปลี่ยนสถานะของพลังงานในสุญญากาศ ไม่มีสิ่งใดจุดชนวนให้มันเกิดขึ้น
มันเป็นผลจากกฎฟิสิกส์ที่อนุญาตให้พลังงานปรากฏขึ้นได้จากความไม่แน่นอนของควอนตัม
นักฟิสิกส์บางคน เช่น Lawrence Krauss และ Stephen
Hawking เสนอแนวคิดที่ตรงไปตรงมาอย่างน่าทึ่งว่า
“จักรวาลสามารถเกิดขึ้นจากความว่างเปล่าได้”
ความว่างเปล่าในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการไม่มีอะไรเลย
แต่คือภาวะที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ของพลังงานและสนามควอนตัม
ซึ่งสามารถสร้างอนุภาคและแรงต่าง ๆ ขึ้นมาได้เองภายใต้กฎธรรมชาติ
กฎของความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์กเป็นหัวใจสำคัญของแนวคิดนี้
มันระบุว่า ในระดับจิ๋ว
ไม่มีสิ่งใดที่สามารถถูกกำหนดค่าได้แน่นอนทั้งตำแหน่งและพลังงานในเวลาเดียวกัน
พลังงานจึงสามารถ “ยืม” จากความว่างเปล่าในช่วงเวลาสั้น ๆ และเมื่อเวลาผ่านไป
พลังงานเหล่านี้อาจขยายตัวจนสร้างสิ่งที่เรามองว่าเป็นจักรวาล
หากเป็นเช่นนั้นจริง จักรวาลไม่จำเป็นต้องมี “ผู้สร้าง”
ในความหมายดั้งเดิม
เพราะกฎของฟิสิกส์เองอาจเพียงพอที่จะอธิบายการเกิดขึ้นของทุกสิ่ง
สิ่งที่เราเรียกว่าปาฏิหาริย์อาจเป็นผลลัพธ์ตามธรรมชาติของสมการพลังงานที่ทำงานอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องมีจุดเริ่มจากภายนอก
แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าคำถามเรื่องผู้สร้างหมดความหมาย
แต่แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจของมนุษย์ได้ก้าวมาถึงจุดที่สามารถอธิบายต้นกำเนิดของจักรวาลได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเหนือธรรมชาติ
การที่จักรวาลมีอยู่ อาจไม่ใช่เพราะมีใครสร้างขึ้นมา แต่เพราะมันไม่สามารถ “ไม่อยู่”
ได้เลยในทางฟิสิกส์
ในระดับลึกที่สุด
กฎของธรรมชาติอาจเป็นเพียงสมการที่อธิบายว่า พลังงานและสสารต้องดำรงอยู่
และเมื่อสิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นเสมอ
การเกิดของจักรวาลจึงอาจเป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของความจริงข้อนี้
คำถามเรื่องผู้สร้างจึงไม่ใช่เพียงคำถามเชิงศาสนาอีกต่อไป
แต่เป็นคำถามทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นไปได้สูงสุดของธรรมชาติ
มนุษย์อาจยังไม่รู้ทุกคำตอบ แต่สิ่งที่เราเห็นชัดคือ
จักรวาลสามารถสร้างความซับซ้อน ความงาม และชีวิตได้
โดยไม่จำเป็นต้องมีมือที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลัง
กำเนิดจักรวาลตามหลักฟิสิกส์
หากเราย้อนเวลากลับไปมากพอ
จะพบว่าทุกสิ่งที่เห็นอยู่ในตอนนี้ ดาว กาแลกซี สสาร และแม้แต่แสง
เคยรวมตัวอยู่ในสภาวะที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
มันคือช่วงเวลาที่ทุกสิ่งยังไม่แยกจากกัน
ทั้งพลังงานและสสารถูกบีบอัดอยู่ในจุดที่มีความหนาแน่นและอุณหภูมิสูงเกินกว่าจินตนาการ
นั่นคือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรารู้จักในชื่อว่า “เอกภพ”
นักฟิสิกส์เรียกช่วงนี้ว่า ภาวะเอกฐานเริ่มต้น ซึ่งไม่ได้หมายถึง “จุดเล็ก ๆ ในอวกาศ”
แต่หมายถึงช่วงเวลาที่กฎทางฟิสิกส์แบบที่เรารู้จักยังใช้ไม่ได้
เพราะความหนาแน่นของพลังงานสูงเกินขอบเขตที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปและกลศาสตร์ควอนตัมสามารถอธิบายร่วมกันได้
เมื่อประมาณ 13.8 พันล้านปีก่อน เอกภพในสภาวะดังกล่าวเริ่ม “ขยายตัว” อย่างรวดเร็ว และการขยายตัวนี้ยังคงดำเนินอยู่จนถึงทุกวันนี้ การขยายตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นภายในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่เป็นการขยายตัวของพื้นที่เอง ดังนั้นเอกภพจึงไม่มีศูนย์กลาง ไม่มีขอบ และไม่มีทิศทางที่เรียกว่า “ข้างนอก” ทุกจุดในเอกภพกำลังเคลื่อนห่างจากทุกจุดอื่นด้วยอัตราเร็วที่ขึ้นอยู่กับระยะทาง
หลักฐานของการขยายตัวนี้ปรากฏชัดในรูปของ การเลื่อนสีแดงของแสงจากกาแลกซี ซึ่งถูกค้นพบโดย Edwin Hubble ในปี ค.ศ. 1929 ยิ่งกาแลกซีอยู่ไกล
แสงจากมันก็จะยิ่งถูกยืดออกไปในความยาวคลื่นที่ยาวขึ้น
หมายความว่ามันกำลังเคลื่อนห่างจากเรา
นี่คือสัญญาณของเอกภพที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
หลังการขยายตัวในช่วงแรก
เอกภพยังร้อนจัดจนไม่มีอะตอมใดสามารถก่อตัวได้
พลังงานมีอยู่ในรูปของอนุภาคพื้นฐานที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระ เช่น
ควาร์กและอิเล็กตรอน จนกระทั่งเอกภพเย็นตัวลงถึงระดับหนึ่ง
อนุภาคเหล่านี้จึงเริ่มรวมตัวเป็นโปรตอน นิวตรอน และในที่สุดก็เกิดอะตอมของไฮโดรเจนและฮีเลียมขึ้น
กระบวนการนี้เรียกว่า การเกิดนิวเคลียสครั้งแรกของเอกภพ ซึ่งเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีหลังการเริ่มขยายตัว
หลังจากนั้น เมื่ออุณหภูมิลดลงอีก
แสงเริ่มเดินทางได้อย่างอิสระและกลายเป็นสิ่งที่เราตรวจพบในปัจจุบันว่า รังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาล หรือ CMB ซึ่งเป็นภาพถ่ายของเอกภพในวัยเพียงสามแสนแปดหมื่นปี
จากพลังงานและสสารที่เรียบง่ายเหล่านี้
กาลเวลานับพันล้านปีได้หล่อหลอมให้เกิดโครงสร้างที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
กลุ่มก๊าซเริ่มรวมตัวภายใต้แรงโน้มถ่วงจนเกิดดาวดวงแรก แรงดึงดูดเหล่านั้นค่อย ๆ
สร้างกาแลกซี กระจุกดาว และในที่สุดก็เกิดระบบดาวเคราะห์อย่างที่เรารู้จัก
แต่เอกภพไม่ได้ประกอบขึ้นจากสิ่งที่เรามองเห็นเท่านั้น
การสังเกตการหมุนของกาแลกซีและการกระจายของแรงโน้มถ่วงเผยให้เห็นว่ามีบางสิ่งเพิ่มเติมอยู่
— สิ่งที่ไม่เปล่งแสงแต่มีมวล นั่นคือ สสารมืด ซึ่งคิดเป็นประมาณ 27 เปอร์เซ็นต์ของมวลพลังงานทั้งหมดของเอกภพ
นอกจากนี้
การวัดการขยายตัวของเอกภพในยุคปัจจุบันยังพบว่ามันไม่ได้ช้าลงตามที่แรงโน้มถ่วงควรทำ
แต่กลับเร่งขึ้นเรื่อย ๆ
การเร่งนี้ชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของพลังงานรูปแบบหนึ่งที่กระจายอยู่ทั่วอวกาศ
เรียกว่า พลังงานมืด ซึ่งมีอิทธิพลถึงราว 68 เปอร์เซ็นต์ของเอกภพทั้งหมด
เมื่อรวมกันแล้ว
พลังงานมืดและสสารมืดครอบงำเอกภพมากกว่าสิ่งที่เรามองเห็นได้ด้วยตา
สสารปกติที่ประกอบเป็นดาว ดาวเคราะห์ และสิ่งมีชีวิตมีเพียงไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ส่วนที่เหลือเป็นพลังงานและสสารในรูปที่เรายังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้
อย่างไรก็ตาม
กฎทางฟิสิกส์ปัจจุบันสามารถอธิบายการขยายตัวและวิวัฒนาการของเอกภพได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องอ้างถึงพลังภายนอกหรือผู้สร้าง
จุดเริ่มต้นของการขยายตัวอาจเป็นผลลัพธ์จาก ความไม่แน่นอนของกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งทำให้พลังงานในสุญญากาศสามารถปรากฏขึ้นได้ชั่วขณะ
และหากพลังงานนั้นขยายตัวเร็วพอ
มันอาจกลายเป็นเอกภพเต็มรูปแบบเหมือนที่เราอยู่ตอนนี้
ทฤษฎีนี้นำไปสู่แนวคิดสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ เอกภพอาจไม่ต้องการผู้เริ่มต้น เพราะในระดับพื้นฐานที่สุด
กฎฟิสิกส์สามารถสร้างสิ่งที่มีอยู่จากความว่างได้โดยไม่ละเมิดหลักการใดเลย
ความว่างเปล่าในทางฟิสิกส์ไม่ใช่ความไม่มี
แต่เป็นสภาวะที่มีพลังงานและศักยภาพพร้อมจะก่อรูปเป็นสิ่งต่าง ๆ ได้เสมอ
นักฟิสิกส์อย่าง Stephen Hawking เคยกล่าวว่า “หากเรามีกฎอย่างเช่นกฎแรงโน้มถ่วง
จักรวาลสามารถสร้างตัวเองขึ้นจากความว่างเปล่าได้” หมายความว่า
เมื่อมีสมการของแรงโน้มถ่วงและพลังงานควอนตัมที่ทำงานร่วมกัน
การเกิดของเอกภพไม่จำเป็นต้องมีแรงภายนอกมาจุดประกาย
แต่เป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของกฎธรรมชาติเอง
ในทางคณิตศาสตร์
กฎเหล่านี้อธิบายได้ว่าพลังงานบวกของสสารและพลังงานลบของแรงโน้มถ่วงสามารถหักล้างกันได้จนเหลือศูนย์อย่างสมบูรณ์
เอกภพทั้งใบจึงอาจมีพลังงานรวมเท่ากับศูนย์ นั่นหมายความว่าไม่มีสิ่งใดที่ต้อง
“เพิ่มเข้าไป” เพื่อให้มันเกิดขึ้น การเกิดของเอกภพอาจไม่ใช่การสร้างจากไม่มี
แต่เป็นการเปลี่ยนรูปของศักยภาพที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ
เมื่อมองในแง่นี้
การมีอยู่ของเอกภพไม่ได้ต้องการคำอธิบายเหนือธรรมชาติ
เพราะธรรมชาติมีกฎที่เพียงพอในการอธิบายตนเอง สิ่งที่เราเรียกว่า “จุดเริ่มต้น”
อาจเป็นเพียงการเปลี่ยนสถานะของพลังงานในสุญญากาศจากเสถียรไปสู่การขยายตัวแบบไม่หยุดนิ่ง
ซึ่งยังคงดำเนินต่อไปจนถึงตอนนี้
แน่นอนว่าแบบจำลองทางฟิสิกส์เหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์
เราอาจยังไม่เข้าใจว่ากฎเหล่านี้มาจากไหน หรือเหตุใดมันจึงเป็นเช่นนั้น
แต่สิ่งที่เรารู้แน่คือ เอกภพไม่จำเป็นต้องมีผู้เริ่มต้นเพื่อให้มันมีอยู่ได้
เพราะการดำรงอยู่ของมันอาจเป็นผลโดยตรงจากกฎที่ไม่สามารถหยุดการมีอยู่ของพลังงานและเวลาได้
คำถามเรื่องผู้สร้างจึงถูกแทนที่ด้วยคำถามใหม่ที่ลึกกว่า
คือ “เหตุใดกฎของธรรมชาติจึงอนุญาตให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นได้เลยตั้งแต่แรก?”
นี่คือขอบเขตที่ฟิสิกส์ยังพยายามหาคำตอบ
และในระหว่างที่เรายังไม่รู้ คำตอบที่ดีที่สุดคือ
การยอมรับว่ากฎเหล่านี้อาจเพียงพอแล้วที่จะให้เอกภพมีอยู่จริง
เอกภพอาจไม่ต้องการผู้เริ่มต้น
เพราะมันคือระบบที่สร้างและคงอยู่ด้วยกฎของมันเอง กฎที่ไม่ขึ้นกับเจตนา
ไม่ต้องการแรงกระตุ้น และไม่สิ้นสุดในความงามของเหตุผลทางฟิสิกส์
ชีวิตเกิดขึ้นอย่างไรโดยไม่ต้องอาศัยปาฏิหาริย์
เมื่อเอกภพถือกำเนิดขึ้นและเริ่มเย็นตัวลง
ธาตุที่เกิดจากการหลอมในดาวรุ่นแรก ๆ เช่น คาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน และฟอสฟอรัส
ถูกปล่อยออกสู่ห้วงอวกาศผ่านการระเบิดของซูเปอร์โนวา
ธาตุเหล่านี้กลายเป็นวัตถุดิบพื้นฐานของชีวิตในเวลาต่อมา ทุกสิ่งที่มีชีวิต
รวมถึงเรา ล้วนเกิดจากฝุ่นของดาวฤกษ์ที่ผ่านการหมุนเวียนของพลังงานมาหลายพันล้านปี
คำถามต่อมาคือ
ธาตุเหล่านี้รวมตัวกันได้อย่างไรจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิต? นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาหลายสิบปีในการหาคำตอบ
จนพบว่าในบางสภาวะทางธรรมชาติ
โมเลกุลอินทรีย์ที่ซับซ้อนสามารถเกิดขึ้นได้เองโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเหนือธรรมชาติ
หนึ่งในการค้นพบสำคัญคือ การทดลองของสแตนลีย์ มิลเลอร์ และแฮโรลด์ ยูรี ในปี ค.ศ. 1953 ทั้งคู่ต้องการจำลองสภาพบรรยากาศของโลกยุคแรก
พวกเขาใส่ส่วนผสมของก๊าซมีเทน แอมโมเนีย ไฮโดรเจน และไอน้ำลงในภาชนะปิด
แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าให้วิ่งผ่านเพื่อเลียนแบบฟ้าผ่า หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน
พวกเขาพบว่ามีกรดอะมิโนหลายชนิดปรากฏอยู่ในของเหลวภายในระบบ
กรดอะมิโนเหล่านี้คือหน่วยพื้นฐานของโปรตีน
ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
การทดลองของมิลเลอร์และยูรีจึงเป็นหลักฐานแรกที่ชี้ว่า
โมเลกุลที่ซับซ้อนสามารถก่อตัวขึ้นได้จากสภาวะธรรมชาติทั่วไปโดยไม่ต้องมี
“การสร้าง” จากภายนอก
หลังจากนั้น
นักวิทยาศาสตร์พบว่ากระบวนการคล้ายกันสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายสภาพแวดล้อม
ทั้งในทะเลลึกที่มีพลังงานความร้อนจากปล่องภูเขาไฟใต้น้ำ ในอุกกาบาตที่ตกสู่โลก
หรือแม้แต่ในกลุ่มเมฆก๊าซระหว่างดวงดาวที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์
ทุกที่ที่มีพลังงาน น้ำ และคาร์บอน ระบบเคมีที่ซับซ้อนดูเหมือนจะเริ่มต้นขึ้นเสมอ
จากโมเลกุลอินทรีย์พื้นฐาน
การจัดเรียงและปฏิกิริยาต่อเนื่องกันนับไม่ถ้วนก่อให้เกิดโครงสร้างที่สามารถคัดลอกตัวเองได้
นี่คือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เราเรียกว่า “ชีวิต”
โมเลกุลประเภท RNA ซึ่งสามารถทำหน้าที่ได้ทั้งเก็บข้อมูลและเร่งปฏิกิริยาเคมี
ถูกมองว่าเป็นผู้สมัครที่มีศักยภาพสูงสุดในช่วงแรกของวิวัฒนาการ
ก่อนที่จะมีดีเอ็นเอและโปรตีนแยกหน้าที่กันอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
เมื่อการคัดลอกเกิดขึ้น ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นด้วย
บางสำเนาอาจไม่สมบูรณ์ แต่บางสำเนากลับมีคุณสมบัติที่ทำให้มันอยู่รอดได้ดีกว่า
ที่นี่เองคือจุดที่หลักการของ การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ของชาร์ลส์ ดาร์วิน เข้ามาอธิบาย
แม้ดาร์วินจะไม่ได้รู้จักโมเลกุลเหล่านี้
แต่หลักการของเขาสอดคล้องกับกระบวนการที่เกิดขึ้นตั้งแต่ระดับเคมี
ในแต่ละรอบของการคัดเลือก
ระบบที่เสถียรกว่าและสามารถใช้พลังงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าก็จะคงอยู่
ส่วนระบบที่เปราะบางจะสลายไปตามธรรมชาติ กระบวนการนี้ไม่ต้องมีเจตนา ไม่ต้องมีแผน
มันเป็นผลโดยตรงจากการที่พลังงานและสสารพยายามหาสมดุลในรูปแบบที่เสถียรที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไป
ความซับซ้อนจึงเพิ่มขึ้นจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตไปสู่สิ่งที่มีชีวิต
เซลล์แรกถือกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวของโมเลกุลที่สามารถสร้างเยื่อหุ้มกักเก็บสารภายในได้
ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่คงที่และพร้อมสำหรับปฏิกิริยาเคมีที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
จากนั้นวิวัฒนาการก็เริ่มต้นขึ้นในระดับชีวภาพจริง ๆ
จากจุลชีพที่ล่องลอยอยู่ในน้ำทะเลยุคแรก ๆ ชีวิตค่อย ๆ
แผ่ขยายออกไป บางส่วนเรียนรู้ที่จะใช้แสงอาทิตย์เป็นพลังงาน
ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง ทำให้ชั้นบรรยากาศเริ่มมีออกซิเจน
และในที่สุดก็สร้างเงื่อนไขให้สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์เกิดขึ้นได้
การเปลี่ยนแปลงที่กินเวลาหลายพันล้านปีนี้ไม่ได้เกิดจากปาฏิหาริย์
แต่จากความเป็นไปตามกฎของเคมีและฟิสิกส์
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เราเห็นในปัจจุบันจึงเป็นผลของกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติที่ไม่เคยหยุดทำงาน
ดาร์วินเรียกสิ่งนี้ว่า “การเปลี่ยนแปลงพร้อมสืบทอด” หรือการที่ชีวิตค่อย ๆ
แปรเปลี่ยนตามสภาพแวดล้อม และส่งต่อคุณลักษณะที่ช่วยให้มันอยู่รอดได้ดีขึ้น
มุมมองทางวิทยาศาสตร์นี้ทำให้เราเข้าใจว่า
การเกิดขึ้นของชีวิตอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างสิ้นเชิง
แต่อาจเป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของกฎธรรมชาติ เมื่อเงื่อนไขของพลังงาน น้ำ
และโมเลกุลอินทรีย์ตรงกัน ความซับซ้อนย่อมเกิดขึ้น และเมื่อมีความซับซ้อนมากพอ
ระบบย่อมเริ่มแสดงพฤติกรรมที่เราเรียกว่า “ชีวิต”
นักชีววิทยาหลายคน เช่น Jeremy England จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ เสนอว่า
ชีวิตอาจเป็นวิธีที่ธรรมชาติใช้ในการกระจายพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดตามหลักเทอร์โมไดนามิกส์
ระบบใดที่สามารถใช้พลังงานได้ดีกว่ามักจะคงอยู่ได้นานกว่า และเมื่อกฎนี้ทำงานซ้ำ ๆ
มันย่อมนำไปสู่สิ่งที่มีลักษณะคล้ายชีวิต
ดังนั้น
แทนที่จะมองว่าชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องมีใครสร้างขึ้นมา
วิทยาศาสตร์มองว่ามันคือกระบวนการที่เกิดขึ้นได้เองเมื่อเงื่อนไขเหมาะสม
เหมือนน้ำที่กลายเป็นน้ำแข็งเมื่ออุณหภูมิลดลง
หรือเหมือนผลึกเกลือที่ตกผลึกในน้ำทะเล ชีวิตอาจเป็นผลลัพธ์ที่ธรรมชาติ “ต้อง”
สร้างขึ้นเมื่อมีสภาวะที่เอื้ออำนวย
เมื่อมองจากมุมนี้
ชีวิตไม่ได้เป็นสิ่งพิเศษที่ขัดกับกฎของจักรวาล
แต่มันคือหนึ่งในรูปแบบที่จักรวาลเลือกเพื่อคงการเคลื่อนไหวของพลังงานไว้
มันเป็นการแสดงออกของกฎธรรมชาติที่ทำงานด้วยความสม่ำเสมอและความอดทน
ชีวิตอาจไม่ได้เริ่มจากการรังสรรค์
แต่จากการที่กฎของธรรมชาติไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องก่อให้เกิดสิ่งที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย
ๆ เพื่อกระจายพลังงานอย่างต่อเนื่อง
และนั่นอาจเป็นคำอธิบายที่งดงามที่สุดของคำถามที่ว่า
“ชีวิตเริ่มต้นได้อย่างไรโดยไม่ต้องอาศัยปาฏิหาริย์”
ขอบเขตของความไม่รู้
แม้เราจะมีแบบจำลองฟิสิกส์ที่อธิบายกำเนิดของเอกภพได้อย่างละเอียดและทดสอบได้จริง
แต่ก็ยังมีขอบเขตที่ความรู้ของมนุษย์ยังไปไม่ถึงอยู่เสมอ
วิทยาศาสตร์ไม่เคยอ้างว่ามีคำตอบทั้งหมด
มันเพียงยอมรับว่าความไม่รู้คือส่วนหนึ่งของกระบวนการค้นพบ
หนึ่งในช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดคือ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนบิกแบง หรือแม้แต่คำถามว่า “คำว่าก่อน”
ยังมีความหมายหรือไม่ในบริบทของเอกภพยุคแรก
ฟิสิกส์ในปัจจุบันสามารถอธิบายเหตุการณ์ได้ตั้งแต่วินาทีที่หนึ่งในล้านล้านล้านล้านหลังการขยายตัวเริ่มต้น
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นยังอยู่นอกขอบเขตของทฤษฎีใด ๆ ที่เรามีอยู่
เหตุผลคือ เมื่อความหนาแน่นของพลังงานสูงถึงระดับหนึ่ง
กฎของแรงโน้มถ่วงแบบสัมพัทธภาพทั่วไปและกลศาสตร์ควอนตัมไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสอดคล้อง
เราจึงยังไม่มี “ทฤษฎีแรงรวม” ที่สามารถอธิบายทั้งสองสิ่งนี้ได้พร้อมกัน บางทฤษฎี
เช่น ทฤษฎีสตริง หรือ แรงโน้มถ่วงเชิงควอนตัมแบบวง พยายามจะรวมกฎทั้งสองเข้าด้วยกัน
แต่ยังอยู่ในขั้นการพัฒนาและไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันได้ชัดเจน
อีกคำถามหนึ่งที่ลึกไม่แพ้กันคือ
“เหตุใดกฎของธรรมชาติจึงเป็นเช่นนี้?”
เรารู้ว่ากฎเหล่านี้ทำงานอย่างไร
แต่เราไม่รู้ว่าทำไมมันถึงมีอยู่ในรูปแบบนี้
ฟิสิกส์อธิบายปรากฏการณ์ภายใต้กรอบของกฎ แต่ไม่ได้ตอบว่ากฎเหล่านั้นมาจากไหน
หลายคนจึงมักใช้ช่องว่างนี้เป็นจุดอ้างสำหรับแนวคิดเรื่องผู้สร้าง
อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์เตือนเราว่า
“ช่องว่างของความไม่รู้” ไม่ใช่หลักฐานของการมีอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติ การบอกว่า
“เพราะเราไม่รู้ จึงต้องมีผู้สร้าง” เป็นการหยุดการค้นคว้าไว้ที่ความสบายใจ
มากกว่าจะเปิดทางให้เหตุผลได้ทำงานต่อไป
ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เราเคยใช้คำว่า “พระเจ้า”
เพื่ออธิบายฟ้าร้อง สายฟ้า การระบาดของโรค และการเคลื่อนที่ของดาว
ทุกครั้งที่ความรู้ก้าวหน้า
พื้นที่ที่เราใช้คำอธิบายเหนือธรรมชาติเหล่านั้นก็หดเล็กลง
ฟ้าร้องถูกอธิบายด้วยไฟฟ้า การระบาดของโรคถูกอธิบายด้วยจุลชีพ
และการเคลื่อนที่ของดาวถูกอธิบายด้วยแรงโน้มถ่วงของนิวตัน
นี่ไม่ได้หมายความว่าศรัทธาผิดพลาด
แต่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถเข้าใจธรรมชาติได้ลึกขึ้นเมื่อเลือกตั้งคำถามและทดสอบคำตอบแทนที่จะหยุดอยู่กับคำอธิบายที่ตรวจสอบไม่ได้
ความรู้จึงขยายตัวโดยตรงจากการยอมรับในสิ่งที่ยังไม่รู้
ไม่ใช่จากการปิดมันด้วยความเชื่อ
ช่องว่างทางความรู้ไม่ใช่จุดจบของการเข้าใจ
แต่เป็นประตูสู่การค้นพบใหม่ทุกครั้ง ตัวอย่างเช่น เราไม่รู้ว่าพลังงานมืดคืออะไร
แต่เรารู้ว่ามันมีผลต่อการขยายตัวของเอกภพ และจากการไม่รู้ตรงนั้น
เราจึงสร้างกล้องโทรทรรศน์รุ่นใหม่ ทำการวัดระยะทางของกาแลกซี และพัฒนาแบบจำลองทางจักรวาลวิทยาที่แม่นยำยิ่งขึ้น
ในลักษณะเดียวกัน
ความไม่รู้เกี่ยวกับการกำเนิดของชีวิตก็ไม่ใช่หลักฐานของการสร้างปาฏิหาริย์
แต่เป็นแรงผลักดันให้เกิดสาขาวิชาใหม่ เช่น ชีวเคมีเชิงกำเนิด
และวิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิตนอกโลก ทุกครั้งที่เรายอมรับว่ามีสิ่งที่ยังไม่รู้
เราได้ขยายขอบเขตของความเข้าใจออกไปอีกขั้น
Stephen Hawking เคยกล่าวว่า
“ถ้าเราพบคำตอบว่าทำไมจักรวาลถึงมีอยู่ เราก็จะรู้จักจิตใจของพระเจ้า”
คำพูดนี้มักถูกตีความผิด
เจตนาของเขาไม่ได้หมายถึงการยืนยันการมีอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติ
แต่หมายถึงการเข้าใจกลไกของธรรมชาติได้ถึงระดับที่ลึกที่สุด
ซึ่งสำหรับนักฟิสิกส์แล้ว นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของเหตุผล
ในทางวิทยาศาสตร์
การยอมรับความไม่รู้คือความซื่อสัตย์ที่สุดของการแสวงหาความจริง
เพราะมันเปิดโอกาสให้เราสงสัยโดยไม่ต้องเชื่อก่อน เมื่อเรายอมรับว่าไม่รู้
เราจึงสามารถวางสมมติฐานใหม่ สร้างเครื่องมือใหม่
และทดสอบความจริงได้โดยไม่ถูกขวางด้วยกรอบทางศรัทธา
สิ่งที่น่าทึ่งคือ ทุกครั้งที่เราค้นพบคำอธิบายใหม่
ช่องว่างที่เคยดูเหมือน “พื้นที่ของผู้สร้าง” ก็เล็กลงเรื่อย ๆ
การค้นพบแรงโน้มถ่วงของนิวตันเคยทำให้มนุษย์เข้าใจการเคลื่อนที่ของดาว
การค้นพบกลศาสตร์ควอนตัมทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมของสสารในระดับเล็ก
และทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ทำให้เราเข้าใจโครงสร้างของเวลาและอวกาศเอง
แต่ทุกครั้งที่ช่องว่างหนึ่งปิดลง
ช่องว่างใหม่จะเปิดขึ้นต่อไปเสมอ นั่นคือธรรมชาติของการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ไม่ได้พยายามกำจัดความลึกลับของจักรวาล
แต่มันพยายามทำให้ความลึกลับนั้นเข้าใจได้มากขึ้น
ดังนั้น การมี “ช่องว่าง” ไม่ใช่จุดอ่อนของวิทยาศาสตร์
แต่เป็นพลังของมัน เพราะในช่องว่างนั้นเองคือที่ที่ความคิดใหม่เกิดขึ้น
เป็นที่ที่เรากล้าจะถามคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ และพยายามหาคำตอบด้วยหลักฐาน
ไม่ใช่ด้วยการคาดเดา
ในท้ายที่สุด
ความไม่รู้ไม่ควรถูกมองว่าเป็นหลักฐานของผู้สร้างหรือการออกแบบใด ๆ
แต่ควรถูกมองว่าเป็นเครื่องเตือนใจถึงความถ่อมตนของมนุษย์ต่อความซับซ้อนของธรรมชาติ
เราอาจยังไม่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของเวลา
หรือสาเหตุที่กฎฟิสิกส์เป็นเช่นนี้ แต่เรารู้ว่าทุกครั้งที่เรามองเข้าไปในช่องว่างนั้น
เราเข้าใจจักรวาลมากขึ้นเสมอ
และบางที ความไม่รู้ที่เหลืออยู่
อาจไม่ใช่ข้อพิสูจน์ของการออกแบบจากภายนอก
แต่อาจเป็นสัญญาณว่ากระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ยังไม่สิ้นสุด
เพราะทุกครั้งที่เราขยายขอบเขตของความรู้
ช่องว่างแห่งความไม่รู้ก็เล็กลง และในช่องว่างที่เหลือนั้นเอง
คือที่ซึ่งความอยากรู้ของเรายังคงผลักจักรวาลให้เปิดเผยความลับของมันต่อไป
สรุป
เมื่อมองย้อนกลับไปจากจุดเริ่มต้นของเอกภพจนถึงการถือกำเนิดของชีวิต
เราพบภาพใหญ่ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง จักรวาลนี้ดำเนินไปตามกฎที่ตรวจสอบได้
กฎที่ไม่ต้องการคำสั่งจากภายนอกเพื่อให้มันทำงาน พลังงานก่อให้เกิดสสาร
สสารรวมตัวเป็นดาว ดาวให้กำเนิดธาตุ และธาตุเหล่านั้นรวมกันอีกครั้งเพื่อสร้างสิ่งมีชีวิต
ทุกสิ่งที่เราเรียกว่า “ปาฏิหาริย์”
ดูเหมือนจะมีรากฐานอยู่ในกฎธรรมชาติที่ต่อเนื่องและเป็นเหตุเป็นผล
ตั้งแต่การก่อตัวของกาแลกซีไปจนถึงเซลล์แรกที่สามารถคัดลอกตัวเองได้
ธรรมชาติไม่ต้องการคำสั่งใด ๆ มันเพียงต้องการเวลาและพลังงาน
ชีวิต ความงาม และสติปัญญาไม่ได้ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า
แต่เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการที่ไม่เคยหยุดเรียนรู้และปรับตัว ฟิสิกส์ เคมี
และชีววิทยา
ล้วนเผยให้เห็นว่าธรรมชาติมีความสามารถในการสร้างความซับซ้อนได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีเจตนา
ในมุมมองทางวิทยาศาสตร์ คำถามเรื่อง “ผู้สร้าง”
จึงไม่จำเป็นต้องถูกปิดด้วยคำตอบเดียว
แต่สามารถเปิดไว้ให้การสำรวจของมนุษย์ดำเนินต่อไป
เพราะทุกครั้งที่เราค้นพบกลไกใหม่ของธรรมชาติ เราก็เข้าใจคำว่า “การสร้าง”
ในมิติที่กว้างขึ้น
บางทีคำถามที่เราควรถามต่อคือ
หากธรรมชาติมีพลังสร้างสิ่งมีชีวิต ความงาม และจิตสำนึกได้เอง
เราแน่ใจหรือว่าคำว่า “ผู้สร้าง” ต้องหมายถึงสิ่งที่อยู่นอกธรรมชาติจริงหรือ


0 comments