คลื่นสมองของฌาน ศึกษาสภาวะจิตขั้นสูงผ่านเครื่องมือ EEG และ fMRI

 คำว่า “ฌาน” มักถูกกล่าวถึงในฐานะกระบวนการทางจิตภายในที่ลึกและซับซ้อน นักปฏิบัติบางกลุ่มระบุว่าภาวะนี้สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการรับรู้ ความสัมพันธ์ต่อเวลา อัตตา และความเป็นเหตุเป็นผลของความคิด  ในอดีต เนื้อหาเกี่ยวกับฌานไม่ปรากฏในฐานข้อมูลทางประสาทวิทยา เพราะไม่สามารถตรวจวัดได้เชิงวัตถุ แต่ในช่วงสองทศวรรษหลัง งานวิจัยเชิงทดลองหลายชุดเริ่มให้ความสนใจกับคำถามสำคัญว่าการเข้าสมาธิขั้นสูงสามารถเปลี่ยนแปลงกิจกรรมของสมองหรือไม่ เครื่องมือทางประสาทฟิสิกส์อย่าง EEG (Electroencephalography) จึงถูกนำมาใช้ในการศึกษาผู้ที่มีประสบการณ์ทางสมาธิในระดับลึก ด้วยความสามารถในการตรวจวัดสัญญาณไฟฟ้าที่เกิดจากการทำงานของเซลล์ประสาท EEG ทำให้สามารถสังเกตรูปแบบของคลื่นสมองในสภาวะจิตต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด การใช้ EEG ในงานวิจัยเกี่ยวกับฌานจึงไม่ได้เกิดจากความสนใจในเรื่องจิตวิญญาณเท่านั้น หากแต่สะท้อนถึงแนวโน้มของวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยที่เริ่มเปิดพื้นที่ให้กับกระบวนการภายในที่แม้จะยังยากต่อการจำแนก แต่แสดงผลกระทบเชิงชีววิทยาอย่างมีนัยสำคัญ

บทความนี้จะนำเสนอภาพรวมของสิ่งที่ EEG บันทึกได้จากผู้ปฏิบัติฌานระดับสูง พร้อมทั้งอภิปรายบทบาทของคลื่นสมองในแต่ละช่วง ความสัมพันธ์ระหว่างสมาธิกับโครงสร้างสมอง และข้อจำกัดทางเทคนิคที่ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม

EEG คืออะไร และใช้วัดอะไรในสมองมนุษย์

EEG หรือ Electroencephalography คือเทคนิคที่ใช้ตรวจวัดกิจกรรมทางไฟฟ้าของสมองโดยอาศัยการวางอิเล็กโทรดไว้บนพื้นผิวศีรษะ อุปกรณ์นี้สามารถตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าขนาดเล็กที่เกิดจากการทำงานร่วมกันของเซลล์ประสาทจำนวนมาก โดยเฉพาะในบริเวณเปลือกสมอง (cerebral cortex)

สัญญาณที่ได้จาก EEG มีลักษณะเป็นคลื่นไฟฟ้าที่มีความถี่และแอมพลิจูดต่างกัน แปรเปลี่ยนไปตามสภาวะของจิตและระดับความตื่นตัวของบุคคล เครื่อง EEG จึงทำหน้าที่เสมือน “เครื่องรับสัญญาณ” ที่สะท้อนลักษณะทางสภาวะจิตในแต่ละช่วงเวลา

ลักษณะของคลื่นสมอง

คลื่นสมองที่ถูกจำแนกอย่างเป็นระบบในงาน EEG ประกอบด้วย 5 ย่านความถี่หลัก ซึ่งแต่ละย่านมีความสัมพันธ์กับระดับการรับรู้และความเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทอัตโนมัติ ดังนี้

  • คลื่นเดลตา (Delta: 0.5 – 4 Hz)
    เป็นคลื่นที่มีความถี่ต่ำที่สุด มักปรากฏในช่วงหลับลึกโดยไม่มีความฝัน หรือในภาวะหมดสติ การปรากฏของคลื่นเดลตาขนาดใหญ่ในขณะตื่นอาจบ่งชี้ถึงการทำงานที่ผิดปกติของสมอง หรือในบางกรณี เป็นผลจากการเข้าสู่สภาวะจิตที่ลดกิจกรรมทางความคิดลงอย่างมาก

  • คลื่นธีตา (Theta: 4 – 8 Hz)
    สัมพันธ์กับภาวะผ่อนคลายอย่างลึก โดยเฉพาะในช่วงก่อนหลับหรือหลังตื่น บางการศึกษาเชื่อมโยงคลื่นธีตากับกระบวนการสร้างภาพในใจ จินตนาการ ความจำระยะยาว และความฝัน ทั้งยังปรากฏในงานวิจัยสมาธิขั้นต้น และถูกตั้งสมมุติฐานว่าอาจมีบทบาทในการเข้าถึงข้อมูลภายในที่ไม่ได้สำนึก

  • คลื่นอัลฟา (Alpha: 8 – 12 Hz)
    เป็นคลื่นที่มักปรากฏเด่นชัดเมื่อบุคคลอยู่ในภาวะตื่นรู้แต่ผ่อนคลาย ไม่โฟกัสกับสิ่งเร้าภายนอก พบมากบริเวณ posterior cortex เมื่อหลับตา คลื่นอัลฟาถูกใช้เป็นตัวบ่งชี้สำคัญในการศึกษาสภาวะสมาธิระดับเบื้องต้นถึงปานกลาง เพราะสัมพันธ์กับการลดลงของข้อมูลที่ไหลเข้าสู่เปลือกสมองผ่านประสาทสัมผัส

  • คลื่นเบตา (Beta: 13 – 30 Hz)
    สัมพันธ์กับการคิดเชิงเหตุผล การวางแผน และความตื่นตัวในระดับสูง ปรากฏชัดในสถานการณ์ที่ต้องใช้สมาธิเพื่อแก้ปัญหา ความถี่เบตาที่สูงเกินไปมักเชื่อมโยงกับความเครียดหรือความกังวล ส่วนคลื่นเบตาที่มีความถี่ต่ำกว่าถูกพบในภาวะการทำงานที่นิ่งและต่อเนื่อง เช่น การเฝ้าสังเกตภายในอย่างมีสติ

  • คลื่นแกมมา (Gamma: 30 – 100 Hz ขึ้นไป)
    เป็นคลื่นความถี่สูงที่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาอย่างเข้มข้น เนื่องจากสัมพันธ์กับกระบวนการเชื่อมโยงข้อมูลทั่วทั้งสมอง การเกิด insight การเรียนรู้ระดับลึก และประสบการณ์ที่มีองค์ประกอบของความเข้าใจเฉียบพลัน พบว่าผู้ที่ฝึกสมาธิขั้นสูงบางรายมีการปล่อยคลื่นแกมมาในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

บทบาทของ EEG ในการศึกษา “สภาวะจิต”

ในบริบทของวิทยาศาสตร์ประสาทสมัยใหม่ EEG กลายเป็นเครื่องมือหลักในการศึกษา "สภาวะจิต" ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในแต่ละช่วงของการรับรู้และปฏิบัติ

ต่างจากเทคนิคการถ่ายภาพสมองเชิงโครงสร้าง เช่น MRI หรือ CT scan ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างทางกายภาพ EEG ให้ข้อมูลแบบเวลาจริง (real-time) เกี่ยวกับการทำงานของสมองในแต่ละวินาที จึงเหมาะสมต่อการศึกษากระบวนการที่เคลื่อนไหวเร็วและละเอียด เช่น สมาธิ การผ่อนคลาย การคิดซ้อนระดับจิตใต้สำนึก หรือแม้กระทั่งการเข้าสู่ภาวะจิตลึกเช่นฌาน

โดยทั่วไป EEG ใช้ประเมินความเปลี่ยนแปลงในสองมิติหลัก

  1. ความแรงของคลื่น (Power Spectral Density)
    คือการวัดระดับพลังงานในแต่ละย่านความถี่ EEG ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นว่าบุคคลกำลังอยู่ในสภาวะใด เช่น ความอ่อนล้า การตื่นตัว หรือการเข้าสู่ภาวะสมาธิ

  2. ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งสมอง (Coherence)
    วัดความเชื่อมโยงระหว่างสัญญาณ EEG ที่ตรวจวัดจากตำแหน่งต่างกัน เช่น หน้าผากกับท้ายทอย หรือซีกซ้ายกับซีกขวา ใช้เพื่อศึกษาการทำงานร่วมกันของโครงข่ายสมอง เช่น Default Mode Network หรือ Attention Network

ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ EEG จึงสามารถตอบคำถามที่เคยเป็นเพียงข้อถกเถียงในทางอภิปรัชญาให้กลายเป็นสมมุติฐานเชิงทดสอบที่ตรวจสอบได้ในระดับระบบประสาท

สมาธิธรรมดา กับ ฌาน ต่างกันยังไงในสายตาวิทยาศาสตร์

ในการศึกษาเกี่ยวกับสมาธิภายใต้กรอบทางประสาทวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องแยกแยะคำศัพท์ที่มีลักษณะคล้ายกันแต่แตกต่างเชิงคุณภาพอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างคำว่า “สมาธิ” ในระดับทั่วไป และ “ฌาน” ซึ่งถือเป็นสภาวะจิตระดับลึกที่มีคุณสมบัติเฉพาะทางอย่างเข้มข้น

สมาธิทั่วไป: โครงสร้างพื้นฐานของการควบคุมความสนใจ

ในทางวิทยาศาสตร์ คำว่า “สมาธิ” มักถูกนิยามอย่างกว้างว่าเป็นการควบคุมความสนใจให้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่อง อาจอยู่ในรูปแบบของการนั่งนิ่ง การกำหนดลมหายใจ หรือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน

การปฏิบัติสมาธิในระดับเบื้องต้นสามารถส่งผลต่อสมองในหลายด้าน เช่น การเพิ่มขึ้นของคลื่นอัลฟา การลดลงของกิจกรรมในระบบ Default Mode Network และความเปลี่ยนแปลงในระดับของฮอร์โมนความเครียด

รูปแบบคลื่นสมองในผู้ฝึกสมาธิทั่วไปมักมีลักษณะดังนี้

  • คลื่นอัลฟาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อหลับตา

  • คลื่นธีตาปรากฏเป็นช่วง ๆ

  • คลื่นเบตาต่ำสัมพันธ์กับการคงสติและการลดกิจกรรมการคิดแบบกระจัดกระจาย

ฌาน: โครงสร้างจิตระดับสูงที่มีองค์ประกอบเฉพาะทาง

ในขณะที่สมาธิเบื้องต้นสามารถอธิบายได้ผ่านการควบคุมความสนใจ ฌานในความเข้าใจของผู้ปฏิบัติระดับสูงมีลักษณะต่างไปอย่างมาก

“ฌาน” หมายถึงสภาวะจิตที่เข้าสู่ความแน่วแน่ลึกอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสิ่งรบกวน มีความสม่ำเสมอทางจิตสูง ความรู้สึกต่อโลกภายนอกลดลงอย่างเด่นชัด และการรับรู้ต่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปในระดับโครงสร้าง

องค์ประกอบของฌาน (เช่น วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) นั้นไม่มีสิ่งใดที่สามารถสังเกตได้โดยตรงผ่านเครื่องมือ EEG หรือ fMRI แต่เมื่อสภาวะดังกล่าวมีผลสะท้อนต่อระบบประสาท ความเปลี่ยนแปลงเชิงสัญญาณจึงกลายเป็นหัวข้อที่วิทยาศาสตร์เริ่มเข้าใกล้มากขึ้น

งานวิจัย EEG ที่ศึกษา “ฌาน” โดยเฉพาะ มักใช้ผู้เข้าร่วมที่ได้รับการคัดเลือกอย่างเข้มงวด และสามารถเข้าฌานได้โดยการกำหนดลำดับขั้นที่ชัดเจน นักวิจัยจำเป็นต้องแยกผลสัญญาณที่เกิดจากสมาธิเบื้องต้นออกจากผลที่เกิดขึ้นเฉพาะในฌาน ซึ่งต้องอาศัยการบันทึกหลายครั้งจากบุคคลเดียวกัน เพื่อควบคุมตัวแปรภายใน

ทำไมฌานถึงท้าทายงานวิจัยทางสมอง

ความยากในการศึกษาฌานมีอยู่ในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับแนวคิดจนถึงระดับการออกแบบงานทดลอง

  • ฌานไม่มีตัวบ่งชี้ทางสรีรวิทยาโดยตรง

  • ผู้ปฏิบัติที่เข้าสู่ฌานได้มีจำนวนจำกัด และต้องสามารถอยู่ในภาวะนั้นภายใต้สภาพแวดล้อมของห้องทดลอง

  • สัญญาณ EEG ที่เกี่ยวข้องกับฌานอาจคล้ายกับสัญญาณในภาวะหลับลึก เช่น คลื่นเดลตา หรือ slow waves ขนาดใหญ่ ทำให้การตีความต้องพิจารณาบริบททางพฤติกรรมร่วมด้วย

หลับลึก ตื่นลึก และวิธีแยกแยะใน EEG

ภาวะหลับลึกกับภาวะตื่นลึกมีจุดร่วมบางประการในเชิงคลื่นสมอง เช่น

  • การปรากฏของคลื่นช้า (slow waves)

  • ความลดลงของคลื่นแกมมาและเบตา

  • การเปลี่ยนแปลงของระบบสมองส่วนหน้า (frontal cortex)

แต่ EEG สามารถแยกภาวะทั้งสองออกจากกันได้ในบางกรณี ผ่านเกณฑ์ดังนี้

  1. ลักษณะทางพฤติกรรม: ผู้เข้าสมาธิที่อยู่ในฌานยังคงมีสติรับรู้ สามารถตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นภายนอกอย่างมีระยะเวลา แม้ไม่แสดงปฏิกิริยาในทันที

  2. ตำแหน่งของคลื่น: slow waves ในภาวะหลับลึกมักปรากฏเด่นชัดบริเวณ prefrontal cortex และ parietal lobe ในขณะที่ผู้ฝึกฌานบางรายแสดง slow waves รูปแบบเฉพาะ เช่น การกระจายตัวแบบสมมาตรสองซีก หรือมีจุดศูนย์กลางในบริเวณที่ไม่พบในผู้หลับ

  3. ระดับความเชื่อมโยงของคลื่น: coherence ระหว่างตำแหน่งอิเล็กโทรดในผู้ฝึกฌานบางกลุ่มอยู่ในระดับสูงกว่าในภาวะหลับ

การแยกแยะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้เป็นมาตรฐาน เนื่องจากต้องอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์จากกลุ่มผู้ปฏิบัติที่ผ่านการฝึกฝนมาในระดับสูงอย่างยาวนาน

เมื่อวิทยาศาสตร์เริ่มวัดฌานจริงจัง ใครบ้างที่ทำสิ่งนี้

ในระยะแรกของการศึกษาฌานในเชิงวิทยาศาสตร์ งานที่มีลักษณะเป็นเพียงกรณีศึกษา (case study) ถูกผลิตขึ้นโดยนักวิจัยเพียงไม่กี่ราย ซึ่งกล้าทดลองกับกลุ่มผู้ปฏิบัติที่สามารถเข้าสภาวะจิตลึกได้ตามที่ตนเองรายงาน แม้ยังไม่มีมาตรฐานกลางเพื่อจำแนกระดับของฌาน งานเหล่านี้ได้เปิดพื้นที่ให้เกิดการอภิปรายภายในวงการประสาทวิทยาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา กลุ่มวิจัยบางกลุ่มเริ่มเปลี่ยนบทบาทของการศึกษาฌานจากกรณีเฉพาะ ไปสู่โครงสร้างการศึกษาที่ชัดเจน มีการทวนซ้ำ มีกรอบการนิยาม มีการตรวจสอบภายในกลุ่มตัวอย่างอย่างเป็นระบบมากขึ้น

Michael R. Hagerty และทีม EEG of Jhanas

Michael R. Hagerty นักเศรษฐศาสตร์จาก University of California ร่วมกับกลุ่มนักวิจัยอิสระและผู้ฝึกสมาธิที่มีประสบการณ์สูง เช่น Leigh Brasington และ Larry Shupe ได้จัดทำรายงานเบื้องต้นชื่อว่า "Working Paper: EEG Power and Coherence Analysis of an Expert Meditator in the Eight Jhanas" ซึ่งนำเสนอการบันทึก EEG ของผู้ที่สามารถเข้าฌานได้แปดขั้นตามโครงสร้างดั้งเดิมในพระพุทธศาสนาเถรวาท

การศึกษาครั้งนี้ไม่ใช่การบันทึกเพียงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่แบ่งออกเป็นช่วงขั้นของฌานแต่ละระดับ โดยมีการสังเกตพลังงานคลื่นสมอง (power) และความเชื่อมโยงระหว่างตำแหน่งอิเล็กโทรด (coherence) อย่างละเอียด พร้อมข้อเสนอสมมุติฐานที่สามารถนำไปใช้ตรวจสอบซ้ำได้ในกลุ่มตัวอย่างอื่นในอนาคต

แม้จะยังอยู่ในสถานะ working paper และยังไม่ผ่าน peer-review เต็มรูปแบบ รายงานนี้ได้รับการอ้างอิงในวงวิจัยหลายสาขา และถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเอกสารตั้งต้นสำหรับการพัฒนาวิธีศึกษาฌานด้วย EEG อย่างมีโครงสร้าง

Matthew D. Sacchet และโครงการวิจัยที่ Mass General / Harvard

อีกบุคคลสำคัญคือ Matthew D. Sacchet นักประสาทวิทยาที่ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการ Meditation Research Program ที่ Massachusetts General Hospital ภายใต้ความร่วมมือกับ Harvard Medical School

งานของ Sacchet เน้นการใช้ neuroimaging โดยเฉพาะ functional MRI (fMRI) เพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงของโครงข่ายสมองในผู้ที่ฝึกสมาธิในระดับสูง ทั้งในสายพุทธและนอกพุทธ โดยบางงานวิจัยใช้ EEG ควบคู่กับ fMRI เพื่อให้ได้ข้อมูลทั้งเชิงเวลาและเชิงตำแหน่งพร้อมกัน

ภายใต้ทีมวิจัยของเขา มีการพัฒนาแบบจำลองการรับรู้ การประมวลผลความรู้สึกของเวลา และการยับยั้งการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกในสภาวะที่ระบุว่าใกล้เคียงกับฌาน

Thomas Fell, Astrid von Wrede และ Paul Cox

กลุ่มนักวิจัยจาก University of Bonn ประเทศเยอรมนี นำโดย Thomas Fell และ Astrid von Wrede ร่วมกับ Paul Cox ผู้ปฏิบัติธรรมสายพุทธได้ตีพิมพ์บทความในวารสาร Frontiers in Human Neuroscience ในปี 2019 ภายใต้ชื่อ “Insights From an EEG Study of Buddhist Jhāna Meditation”

บทความดังกล่าวนำเสนอผล EEG ที่บันทึกจากกลุ่มผู้ปฏิบัติฌานในบริบทของพระพุทธศาสนา พบการปรากฏของ slow waves ความถี่ต่ำลักษณะพิเศษ คลื่นลักษณะคล้าย sleep spindles แต่มีรูปแบบเฉพาะ และปรากฏการณ์ที่สอดคล้องกับ “การตัดขาดจากข้อมูลประสาทสัมผัสภายนอก” ในระดับที่ผิดแผกจากสมาธิทั่วไป

งานวิจัยนี้นับเป็นงานแรก ๆ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ที่มีระบบ peer-review และตั้งเป้าศึกษาฌานในบริบทดั้งเดิมโดยตรง โดยไม่ลดทอนความเฉพาะทางของภาวะนั้น

การขยายตัวของกรอบวิทยาศาสตร์

สิ่งสำคัญที่สุดในทศวรรษล่าสุดไม่ใช่เพียงจำนวนของงานวิจัย แต่คือกรอบความคิดของวงการประสาทวิทยาที่เริ่มเปิดกว้างมากขึ้นต่อภาวะจิตที่เคยอยู่นอกขอบเขตการตรวจสอบ

คำถามที่เคยถือว่าอยู่นอกวิทยาศาสตร์ เช่น ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว ความหยุดนิ่งของเวลา หรือภาวะไร้อัตตา เริ่มถูกตั้งเป็นสมมุติฐานในระดับโครงข่ายสมอง นักวิจัยกลุ่มใหม่กล้าถาม และกล้าสร้างเครื่องมือเพื่อเข้าใกล้

แม้เครื่อง EEG หรือ fMRI ยังไม่สามารถระบุ “ความตื่นรู้” ได้โดยตรง แต่การที่นักวิจัยรุ่นใหม่กล้าเดินเข้าสู่สนามนี้ คือสัญญาณชัดเจนว่าระบบวิทยาศาสตร์กำลังขยายขอบเขตเพื่อรองรับภาวะจิตที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม

ฌานปรากฏใน EEG ยังไง: สิ่งที่ค้นพบจากผู้ปฏิบัติขั้นสูง

เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าสู่ภาวะฌาน EEG สามารถบันทึกสัญญาณสมองที่มีลักษณะแตกต่างจากสภาวะปกติอย่างเด่นชัด แม้ความหมายเชิงปรัชญาของ “ฌาน” ยังคงไม่สามารถนิยามในกรอบวิทยาศาสตร์ได้ทั้งหมด แต่ปรากฏการณ์ทางชีวฟิสิกส์ที่เกิดขึ้นในสมองของผู้เข้าสภาวะนั้น กลับมีรูปแบบที่สม่ำเสมอในกลุ่มผู้ปฏิบัติขั้นสูงจำนวนหนึ่ง

รูปแบบของคลื่นที่ถูกตรวจพบ

  1. Spindle-like activity
    ในงานของ Fell และคณะ (2019) พบรูปแบบคลื่นที่มีลักษณะคล้าย sleep spindle แต่ปรากฏขึ้นในผู้เข้าสมาธิฌานขณะตื่นเต็มที่ สัญญาณนี้มีความถี่อยู่ในช่วงประมาณ 12 ถึง 15 เฮิรตซ์ มีความต่อเนื่องระดับสั้น กระจายตัวในตำแหน่งเฉพาะของสมอง และแตกต่างจาก spindle ที่พบในภาวะหลับธรรมดา ทั้งในด้านตำแหน่งและโครงสร้างความถี่ย่อย

  2. Slow waves
    ผู้ปฏิบัติฌานบางรายแสดง slow waves ที่มีความถี่ต่ำกว่า 1 เฮิรตซ์ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่พบในภาวะหลับลึก แต่มีความแตกต่างในแอมพลิจูดและรูปแบบการกระจายตัวทางพื้นที่ โดยเฉพาะในรายที่มีประสบการณ์มากกว่า 10,000 ชั่วโมงขึ้นไป สัญญาณเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบริเวณ frontal cortex แต่ปรากฏอย่างสม่ำเสมอในหลายบริเวณของ hemispheres ทั้งสองด้าน

  3. Gamma bursts
    ในกลุ่มผู้ปฏิบัติระดับสูงที่ได้รับการบันทึก EEG โดย Hagerty และคณะ มีการสังเกต burst ของคลื่นแกมมาความถี่สูงที่เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายตำแหน่งของสมองในระยะเวลาอันสั้น ลักษณะนี้ไม่ปรากฏในกลุ่มควบคุมที่นั่งหลับตาโดยไม่มีการปฏิบัติใด ๆ สัญญาณคลื่นแกมมาลักษณะนี้สัมพันธ์กับการรวมข้อมูลภายในหลายระบบของสมอง ซึ่งในงานวิจัยอื่น ๆ เคยเชื่อมโยงกับกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับสภาวะตื่นรู้ (non-dual awareness)

  4. รูปแบบความเชื่อมโยง (coherence) ที่ผิดแผกจากภาวะปกติ
    ในหลายกรณี EEG แสดงระดับ coherence ที่สูงระหว่างตำแหน่งสมองที่มักไม่สัมพันธ์กันในภาวะปกติ เช่น การประสานกันของคลื่น theta ระหว่าง frontal กับ occipital cortex หรือการเกิด simultaneous synchronization ในคลื่น gamma ทั่วทั้ง hemispheres

ตัวอย่างภาพ EEG จากผู้ปฏิบัติฌาน

แม้บทความนี้ไม่แสดงภาพ EEG โดยตรง แต่งานของ Hagerty (ดู: Wisebrain.org/EEGofJhanas.pdf) ได้ตีพิมพ์ภาพตัวอย่างของแผนภูมิ EEG จากผู้เข้าสมาธิฌานลำดับต่าง ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นระดับพลังงานที่แตกต่างอย่างชัดเจนจาก baseline ขณะพักผ่อน
ในบางช่วง คลื่น slow wave มีแอมพลิจูดสูงถึง 300 ไมโครโวลต์ ซึ่งอยู่เหนือขอบเขตทั่วไปของคลื่นสมองในภาวะตื่น ในขณะที่คลื่นแกมมาแสดงการกระจุกตัวเป็นกลุ่มความถี่สูงในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยไม่มีสิ่งเร้าภายนอกเป็นตัวกระตุ้น

ขอบเขตการตีความ

ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่สามารถสรุปความหมายได้โดยตรงว่า “คือฌาน” หากไม่ได้พิจารณาควบคู่กับตัวแปรเชิงพฤติกรรม ความสามารถในการกำหนดระดับของสมาธิ และความสม่ำเสมอของสัญญาณในแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้จากผู้ปฏิบัติจำนวนหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าเมื่อการฝึกดำเนินถึงระดับลึกเพียงพอ กิจกรรมของสมองย่อมเข้าสู่รูปแบบที่แสดงความแตกต่างจากภาวะจิตทั่วไปอย่างชัดเจน

หากสัญญาณลักษณะนี้ปรากฏในคุณ
คุณจะเรียกมันว่าอะไร?
ภาวะหลับในขณะตื่น หรือความตื่นในขณะหลับ?

คำถามนี้ยังไม่มีคำตอบที่เป็นเอกฉันท์ในทางวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับผู้ปฏิบัติที่เคยสัมผัสสภาวะนั้น คำตอบอาจชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มวัดสัญญาณเสียด้วยซ้ำ


บางสมอง "เบา" จนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเวลา: fMRI และระบบรางวัล

นอกเหนือจาก EEG ซึ่งเน้นการวัดกิจกรรมทางไฟฟ้าแบบละเอียดในเชิงเวลา นักวิจัยบางกลุ่มเริ่มนำ fMRI (functional Magnetic Resonance Imaging) มาใช้ในการศึกษาฌาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ลงลึกด้านตำแหน่งเชิงกายภาพและการเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนเลือดในสมอง ซึ่งสะท้อนการทำงานของระบบประสาทในแต่ละพื้นที่

รายงานกรณีศึกษา: fMRI และภาวะปิติที่กำเนิดภายใน

งานของ Michael R. Hagerty และคณะ (2013) ได้ดำเนินการศึกษาผู้ปฏิบัติที่สามารถเข้าสู่สภาวะ “ecstatic meditation” ซึ่งมีองค์ประกอบที่คล้ายกับฌานบางระดับ โดยผู้เข้าร่วมสามารถเรียกอารมณ์ปิติขึ้นมาได้อย่างตั้งใจ และคงไว้ได้ต่อเนื่องโดยไม่มีสิ่งเร้าภายนอก

ในระหว่างการบันทึก fMRI และ EEG พร้อมกัน นักวิจัยพบว่า nucleus accumbens ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ระบบรางวัลในสมอง แสดงกิจกรรมสูงเด่นชัด ขณะเดียวกันก็บันทึกการเปลี่ยนแปลงของบริเวณอื่นที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกเป็นตัวตน เช่น medial prefrontal cortex และ posterior cingulate cortex

กลไกเหล่านี้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ได้รับรางวัลทางสังคม การยอมรับ หรือสารเสพติดบางชนิด แต่แตกต่างที่ว่า การกระตุ้นในกรณีนี้เกิดจากกลไกภายในล้วน ๆ โดยไม่มีการกระตุ้นจากภายนอกแม้เพียงเล็กน้อย

การกระจายตัวของความปิติในเชิงชีววิทยา

ภาวะปิติที่เกิดในสมาธิขั้นสูงจึงไม่ใช่เพียงแนวคิดทางศาสนาหรือวรรณกรรมจิตวิญญาณอีกต่อไป แต่ปรากฏในฐานะของปรากฏการณ์ที่ตรวจวัดได้ในระดับระบบประสาท การกระตุ้นของ nucleus accumbens สัมพันธ์กับการหลั่ง dopamine และ endorphins ซึ่งส่งผลให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกเต็มอิ่ม อ่อนโยน หรือรู้สึกถึงความเชื่อมโยงในระดับที่ลึกยิ่งขึ้นกับสิ่งรอบข้าง

ในเชิงเวลา ผู้เข้าร่วมรายเดียวกันรายงานว่า ความรู้สึกต่อเวลาภายนอก “เปลี่ยนแปลง” โดยไม่รู้ตัว ในขณะที่สมองเข้าสู่ความสมดุลใหม่ สภาวะนี้สามารถคงอยู่ได้นานหลายนาทีโดยไม่ลดความเข้มข้น และในบางกรณี สมองแสดงรูปแบบที่มีความคงเส้นคงวาแม้ผ่านการบันทึกซ้ำหลายครั้ง

ฌานกับระบบรางวัล: การสังเกตที่กำลังเปลี่ยนขอบเขตของวิทยาศาสตร์

สิ่งที่น่าสังเกตคือ การทำงานของระบบรางวัลในบริบทของฌานไม่ผ่านพฤติกรรมเชิงบริโภคหรือการตอบสนองต่อสิ่งเร้า หากแต่แสดงการกระตุ้นที่ชัดเจนจากการเปลี่ยนแปลงภายใน ซึ่งเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจโดยตรงของผู้ปฏิบัติ

จากมุมมองของประสาทวิทยา ภาวะนี้คือข้อพิสูจน์ที่ตรงไปตรงมาว่า สมองมนุษย์สามารถสร้างภาวะอิ่มสุขในระดับสูงได้โดยไม่พึ่งเงื่อนไขภายนอก
จากมุมมองของจริยศาสตร์และจิตวิทยา ภาวะนี้คือคำถามย้อนกลับไปยังระบบสังคมที่มักอิงอยู่กับรางวัลภายนอกเพียงรูปแบบเดียว

หากสมองสามารถเปลี่ยนโครงสร้างของความพึงพอใจโดยไม่ต้องรับสิ่งใดเพิ่มเติม
อะไรคือรางวัลแท้จริงที่เราต้องการ?


ข้อจำกัดของงานวิจัย + อนาคตที่รอเราอยู่

แม้งานวิจัยเกี่ยวกับสมาธิขั้นสูงและฌานจะเริ่มมีโครงสร้างและองค์ความรู้ที่พัฒนาขึ้นต่อเนื่อง แต่ความพยายามในการตรวจวัดสภาวะจิตระดับลึกยังคงเผชิญกับข้อจำกัดที่ต้องยอมรับในเชิงวิธีวิทยาและเชิงทฤษฎี

ความยากของการวัดฌานในเชิงประสาทวิทยา

ฌานเป็นสภาวะที่ไม่มีลักษณะภายนอกชัดเจนในทางพฤติกรรม การเข้าสู่ฌานของผู้ปฏิบัติหนึ่งคนอาจไม่แสดงอาการทางร่างกายที่สามารถตรวจจับได้ เช่น อัตราการหายใจที่เปลี่ยนแปลง หรือการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ลดลงอย่างเด่นชัด

เครื่องมืออย่าง EEG หรือ fMRI จึงไม่สามารถใช้ยืนยัน “การเข้าสู่ฌาน” ได้โดยลำพัง จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลจากผู้ปฏิบัติรายนั้นโดยตรง รวมถึงการบันทึกซ้ำหลายครั้งภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน เพื่อจำแนกสัญญาณที่เกี่ยวข้องจากสัญญาณรบกวน หรือผลจากปัจจัยภายนอก

นอกจากนี้ การจัดการกับ artefact ต่าง ๆ เช่น การกระพริบตา การเคลื่อนไหวของศีรษะ หรือการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาอื่น ๆ ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องมีการควบคุมอย่างเข้มงวดในห้องปฏิบัติการ

ความแตกต่างระหว่างบุคคล

ผู้เข้าสู่สมาธิในระดับลึกแต่ละรายอาจแสดงลักษณะทางคลื่นสมองที่ไม่เหมือนกัน ทั้งในด้านรูปแบบ ความถี่ และตำแหน่งของกิจกรรม แม้จะรายงานสภาวะภายในที่ใกล้เคียงกัน การแปลผลข้อมูลจึงไม่สามารถใช้เกณฑ์เดียวกันได้เสมอไป

สมาธิไม่ได้มีโครงสร้างเดียว และฌานไม่ได้มีลักษณะทางสมองที่จำลองซ้ำได้ในทุกบุคคล การฝึกสมาธิเปรียบได้กับการปรับจูนเครื่องดนตรี โดยเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นมีโครงสร้างเสียงเป็นของตนเอง แม้จะบรรเลงในคีย์เดียวกัน

ดังนั้น แนวทางที่มีประสิทธิภาพในการศึกษาสภาวะจิตระดับลึกอาจต้องอาศัยรูปแบบการวิจัยที่ยอมรับความหลากหลายภายใน และเน้นการติดตามเฉพาะราย (single-subject design) มากกว่าการสร้างค่าเฉลี่ยแบบกลุ่ม

สัญญาณเพียงเสี้ยวเดียว ก็คือร่องรอยของการเปิดประตู

ถึงแม้จะมีข้อจำกัดมากมาย แต่การตรวจวัดเพียงเสี้ยวหนึ่งของภาวะจิตระดับลึก ก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความเป็นไปได้ของแนววิทยาศาสตร์แบบใหม่ ซึ่งกล้าขยายขอบเขตของคำว่า “ความรู้” ออกไปสู่พื้นที่ที่เคยถูกกันไว้ว่าหาเหตุผลไม่ได้

แต่ละสัญญาณที่บันทึกได้ไม่ใช่เพียงคลื่นไฟฟ้าหรือความเปลี่ยนแปลงของกระแสเลือด หากแต่คือข้อมูลที่ส่งนัยถึงมิติของจิตสำนึกที่ไม่เคยถูกวัดมาก่อนในห้องทดลอง

และเมื่อข้อมูลเหล่านั้นเริ่มมีจำนวนมากขึ้น

แบบแผนที่ไม่เคยปรากฏในตำราทางประสาทวิทยาอาจกลายเป็นคำอธิบายใหม่ของ “ภาวะภายใน” ที่สังคมมนุษย์ยังเข้าไม่ถึงอย่างเป็นระบบ 

สิ่งที่สมองไม่สามารถอธิบายได้... แต่เรารู้ว่ามีอยู่

แม้ EEG จะสามารถตรวจจับความถี่ของคลื่นสมองในระดับมิลลิวินาที แม้ fMRI จะสามารถแสดงการเปลี่ยนแปลงของการไหลเวียนเลือดในแต่ละบริเวณของสมองอย่างละเอียด แต่เครื่องมือเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีทิศทาง และไม่มีความเปรียบต่างได้ เมื่อผู้ปฏิบัติรายงานภาวะจิตที่เรียกว่า “ฌานลึก” หลายคนระบุว่าความรู้สึกตัวในขณะนั้นไม่มีการแบ่งแยกระหว่างผู้รู้กับสิ่งถูกรู้ ไม่มีขอบเขตระหว่างภายในกับภายนอก และไม่มีการรับรู้เวลาในลักษณะที่ต่อเนื่องตามลำดับอีกต่อไป การรับรู้แปรเปลี่ยนจากเชิงเส้นเป็นเชิงมวล ไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีปลายทาง และไม่มีเนื้อหาให้ประเมินค่าตามกรอบเหตุผลแบบเดิม

ภาวะเช่นนี้อยู่เหนือขอบเขตของสิ่งที่วิทยาศาสตร์เชิงทดลองสามารถจัดประเภทได้ แม้จะมีคลื่นสมองบางแบบที่สัมพันธ์กับสภาวะนั้น แต่คลื่นสมองไม่ใช่ตัวแทนของประสบการณ์ดังกล่าวโดยตรง เพราะสิ่งที่ผู้ปฏิบัติรายงานไม่ได้เกี่ยวข้องกับรูปแบบของข้อมูล หากเกี่ยวข้องกับการถอนตัวจากการแปลความทั้งหมด ผู้เข้าสมาธิไม่ได้เพียงเปลี่ยนระดับความคิด แต่ถอนตัวจากกลไกที่ทำให้เกิดความคิดในตัวมันเอง และเมื่อไม่มีผู้สังเกต ไม่มีความคิด ไม่มีกรอบเปรียบเทียบ คำถามว่าภาวะเช่นนั้นคืออะไรจึงกลายเป็นคำถามที่เครื่องมือไม่สามารถตอบได้

ในจุดนี้เองที่วิทยาศาสตร์อาจต้องถอยหนึ่งก้าว เพื่อยอมรับว่ามีองค์ความรู้บางประเภทที่ไม่สามารถได้มาผ่านการวัดซ้ำ หรือการจำลองรูปแบบได้ทั้งหมด อาจมีบางสภาวะที่ต้องอาศัยการเข้าถึงตรงจากผู้ประสบเท่านั้น และไม่สามารถแปลงเป็นข้อมูลภายนอกได้อย่างสมบูรณ์ การสื่อสารในกรณีนี้จึงเปลี่ยนจากการพิสูจน์เชิงตรรกะ ไปสู่การรับฟังเชิงพินิจ เหมือนที่นักวิจัยต้องเงียบฟังคลื่นสมองเพื่อเข้าใจสิ่งที่สมองกำลังสื่อสาร ความรู้บางประเภทอาจต้องให้คุณสมบัติของ “การเป็น” มาก่อน “การวิเคราะห์” เพราะเมื่อไม่มีการแยก ไม่มีการให้ชื่อ และไม่มีเจตนาจะนิยาม สิ่งที่เหลืออยู่คือประสบการณ์บริสุทธิ์ ที่ผู้ปฏิบัติรู้ว่าเกิดขึ้นจริง แม้ไม่มีกราฟใดรับรอง

และบางที อาจถึงเวลาที่วงการวิทยาศาสตร์ควรหันกลับมาพิจารณาว่า ความจริงบางประการอาจไม่ต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์เพื่อให้มีสถานะ เพราะสิ่งที่อยู่ในชั้นลึกของสภาวะจิตนั้น ไม่ได้ต้องการการยืนยัน หากแต่ต้องการพื้นที่ให้ดำรงอยู่ได้โดยไม่ถูกรบกวน

สรุป เมื่อศาสตร์กับศรัทธามาจับมือกัน

เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่ปรากฏในงานวิจัยด้าน EEG และ fMRI ซึ่งมุ่งศึกษาภาวะฌานในเชิงประสาทวิทยา จะเห็นได้ชัดว่าวงการวิทยาศาสตร์ไม่ได้ปฏิเสธสภาวะภายในอีกต่อไป ตรงกันข้าม กลุ่มนักวิจัยจำนวนหนึ่งกำลังพยายามเข้าใกล้ภาวะเหล่านั้นด้วยวิธีการที่รัดกุมและเป็นระบบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกสัญญาณจากสมองของผู้ฝึกสมาธิในระดับลึก การแปลผลข้อมูลคลื่นไฟฟ้าในบริบทของการเปลี่ยนแปลงภาวะรับรู้ หรือการตรวจสอบการทำงานของระบบรางวัลที่ไม่ผ่านการกระตุ้นภายนอก สะท้อนให้เห็นว่า “ศาสตร์” กำลังเปิดพื้นที่ให้กับ “ศรัทธา” อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของการศึกษาจิต

งานวิจัยเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ฌานกลายเป็นสิ่งที่ง่ายต่อการวัดหรือจำแนก แต่ยืนยันว่า สภาวะจิตที่มีความซับซ้อนระดับสูงอาจปรากฏผลกระทบต่อโครงสร้างและหน้าที่ของสมองอย่างเฉพาะเจาะจงในระดับที่สามารถตรวจสอบได้ เมื่อข้อมูลจำนวนมากพอถูกรวบรวมในกรอบวิธีวิทยาที่เที่ยงตรง ก็มีแนวโน้มว่าทฤษฎีใหม่เกี่ยวกับจิตสำนึกจะต้องอิงข้อมูลจากผู้ปฏิบัติภาวนาในระดับลึกควบคู่กับข้อมูลทางชีวฟิสิกส์

ความสำคัญของปรากฏการณ์นี้จึงไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้อ่านเข้าใจรายละเอียดของคลื่นอัลฟา เดลตา หรือแกมมาได้มากน้อยเพียงใด แต่อยู่ที่การตระหนักว่า สมองมนุษย์สามารถเปลี่ยนรูปแบบการทำงานได้ในระดับโครงสร้าง ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางภาวะจิตอย่างมีทิศทาง โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยสิ่งเร้าภายนอกเป็นตัวกระตุ้นหลัก ภาวะปิติโดยไม่มีเหตุ ปัญญาโดยไม่มีข้อมูล และความสงบโดยไม่มีเงื่อนไข กลายเป็นสิ่งที่มีหลักฐานประกอบในเชิงชีวภาพอย่างชัดเจนมากขึ้น

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการที่ศาสตร์กับศรัทธาจะทำงานร่วมกันในฐานะระบบรับรู้ที่ต่างทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มรูปแบบ วิทยาศาสตร์มีหน้าที่แปลสิ่งที่ซ่อนอยู่ในกลไก จิตวิญญาณมีหน้าที่เข้าสู่สิ่งที่อยู่ลึกกว่ากลไก และเมื่อทั้งสองเคลื่อนไปพร้อมกัน โลกของความรู้จะไม่แยกจากโลกของการรับรู้เชิงตรงอีกต่อไป

ผู้ที่เงียบพอ แล้วนั่งพอ จะเข้าใจภาวะนั้นโดยไม่ต้องมีกราฟประกอบ และอาจจะพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในความนิ่งลึกที่สุดของตนเองนั้น ไม่จำเป็นต้องผ่านการวัดเพื่อให้มีอยู่จริง เพราะการรับรู้ตรงเป็นหลักฐานในตัวมันเอง


0 comments