เราอาศัยอยู่บนโลกที่มนุษย์หมั่นปลูกฝังความเชื่อเกี่ยวกับ “ความดี” และ “ความชั่ว” ตั้งแต่วัยเยาว์ เราถูกสอนให้เชื่อว่าทุกสิ่งสามารถถูกแบ่งแยกออกเป็นสองขั้วที่ชัดเจนเหมือนเส้นแบ่งระหว่างกลางวันและกลางคืน แต่ในชีวิตจริง สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ไม่มีใครเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่มีใครเป็นคนชั่วอย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน ทุกคนต่างเป็นมนุษย์ที่กำลังเดินทางผ่านเรื่องราวของตนเองและเต็มไปด้วยเรื่องราวและแง่มุมที่ซับซ้อน
นีล โดนัลด์ วอลช์ ในหนังสือ "บทสนทนากับพระเจ้า" (Conversations with God) ได้ทำให้ผู้เขียนทบทวนแนวคิดนี้ใหม่ เพราะเราตั้งคำถามว่า “หากเราไม่ได้ถูกบอกว่าสิ่งนี้คือความดีหรือความชั่ว เรายังจะมองมันในแบบเดิมหรือไม่?” คำถามนี้สำหรับผู้เขียนแล้วมันสำคัญมาก เหมือนแสงสว่างที่ส่องลงมาในความมืด ทำให้เราหยุดคิด และหันมาพิจารณาถึงสิ่งที่เราเคยเชื่อมาตลอดอย่างละเอียดขึ้น
โลกของเราถูกหล่อหลอมจากความเชื่อที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ความเชื่อที่ว่าบางสิ่งคือ “ความดี” และบางสิ่งคือ “ความชั่ว” แต่แท้จริงแล้ว จักรวาลไม่ได้กำหนดนิยามเหล่านี้ให้กับสิ่งใดเลย ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพียง “สิ่งที่มันเป็น” และการตีความทั้งหมดเกิดขึ้นจากมนุษย์ ลองนึกถึงไฟ ไฟสามารถเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ มันให้ความอบอุ่น ทำให้อาหารสุก และนำแสงสว่างมาสู่ความมืด แต่ในขณะเดียวกัน ไฟก็สามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้ เผาบ้านเรือนให้เหลือแต่ซาก หรือคร่าชีวิตผู้คน หากเราจะตัดสินไฟว่า “ดี” หรือ “ชั่ว” คำตอบของเราจะขึ้นอยู่กับ บริบท และ มุมมอง ที่เรามีต่อมัน ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการทำความเข้าใจคำสอนของนีล สิ่งต่าง ๆ ในตัวมันเองไม่ได้เป็น "ดี" หรือ "ชั่ว" แต่เป็นเราที่มอบความหมายให้กับมัน
การกระทำของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครตื่นเช้าขึ้นมาแล้วตัดสินใจอย่างชัดเจนว่า “วันนี้ฉันจะทำสิ่งชั่วร้าย” เพราะในความเป็นจริง ทุกคนกำลังทำในสิ่งที่พวกเขา เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในขณะนั้น แม้ว่าผลลัพธ์ของมันอาจนำไปสู่ความเจ็บปวดหรือความทุกข์ก็ตาม นีลนำเสนอไว้ว่าเบื้องหลังทุกการกระทำของมนุษย์ มีเพียงสองพลังงานที่ขับเคลื่อนมัน นั่นคือ ความรัก และ ความกลัว พลังแห่งความรักนำพาเราไปสู่ความเมตตา การให้อภัย และความเข้าใจ ส่วนพลังแห่งความกลัวพาเราไปสู่ความโกรธ ความเกลียดชัง และการทำลายล้าง มันเหมือนกับต้นไม้ที่มีรากเพียงสองราก แต่แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาเป็นพฤติกรรมที่หลากหลาย
หากเราพิจารณาอย่างละเอียดมากขึ้น เราจะพบว่าการกระทำที่เรามองว่า “ชั่วร้าย” มักเกิดจากความกลัวเสมอ ความกลัวที่จะสูญเสีย ความกลัวที่จะไม่เพียงพอ หรือความกลัวที่จะถูกทอดทิ้ง ในขณะเดียวกัน การกระทำที่เรามองว่า “ดี” มักเกิดจากความรัก เช่น ความรักต่อตนเอง ความรักต่อผู้อื่น หรือความรักต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ลองนึกถึงชายคนหนึ่งที่ขโมยขนมปังเพื่อเลี้ยงลูกสาวที่กำลังหิวโหย เราสามารถตัดสินได้ทันทีว่าการขโมยเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และในกรอบของสังคม นี่คือการกระทำที่ “ชั่วร้าย” แต่หากเราเลือกที่จะมองลึกลงไป เราอาจจะพบว่าการกระทำนั้นมีรากฐานมาจาก ความกลัว กลัวว่าลูกจะอดตาย และขณะเดียวกันก็มี ความรัก ความรักที่พ่อคนหนึ่งมีต่อลูกสาวของเขา
นีลแนะแนวทางให้เราหยุดตัดสินคนอื่นจากการกระทำภายนอก แต่ให้มองลึกลงไปถึง แรงจูงใจภายในใจ ของพวกเขา แล้วเราจะได้เห็นความเจ็บปวดและความกลัวที่ซ่อนอยู่ เราจะเห็นมนุษย์คนหนึ่งที่กำลังพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด ท่ามกลางสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่อาจไม่เอื้ออำนวย
“ความชั่ว” ในมุมมองของนีล ไม่ใช่การกระทำใด ๆ แต่คือ “การหลงลืมตัวตนที่แท้จริงของเรา” ตัวตนที่แท้จริงของเราคือ ส่วนหนึ่งของพระเจ้า เป็นพลังแห่งความรักที่ไม่มีขอบเขต แต่เมื่อเราหลงลืมสิ่งนี้ เราจะตกอยู่ในวังวนของความกลัว ความเจ็บปวด และการแบ่งแยก นี่คือเหตุผลที่นีลกล่าวไว้ว่า คำถามที่ว่า “ทำไมคนคนนี้ถึงชั่วร้าย?” ไม่ได้นำไปสู่คำตอบที่แท้จริง แต่การถามว่า “คนคนนี้กำลังเจ็บปวดจากอะไร?” ต่างหากที่นำเราไปสู่ความเข้าใจ
เมื่อผู้เขียนเข้าใจความจริงข้อนี้ ก็เริ่มมองโลกด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ผู้เขียนเห็นว่าทุกความขัดแย้ง ทุกการกระทำล้วนมีที่มาที่ไป และทุกคนต่างพยายามทำดีที่สุดแล้วตามระดับความตระหนักรู้ที่พวกเขามี
ในท้ายที่สุดแล้ว การยกระดับจิตวิญญาณไม่ได้เกิดขึ้นจากการเอาชนะ “ความชั่วร้าย” แต่มันเกิดจากการเลือก “ความรัก” ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่ครั้ง แม้แต่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด เพราะความรักคือคำตอบเดียวที่แท้จริง เป็นสะพานที่เชื่อมโยงเรากลับไปสู่ธรรมชาติที่แท้จริงของเรา ธรรมชาติที่ว่านี้เปี่ยมไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัย
หากเราเลือกที่จะใช้ความรักเป็นแสงนำทาง ไม่ว่าจะยืนอยู่ท่ามกลางความสับสนหรือความเจ็บปวด เราจะค้นพบคำตอบที่แท้จริงเสมอ มันเป็นเรื่องที่ฟังดูแล้วยาก แต่หากเรามีสติจริงกับการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้เขียนเชื่อว่าแนวความคิดนี้ของนีล เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย และเอาไปใช้ให้เกิดผลได้จริง
“รัก และรักให้มากขึ้น เพราะความรักคือคำตอบของทุกสิ่ง”
ด้วยความรักและความปรารถนาดีจากหัวใจ
ลิลิต ญาณิน 💛✨
◣──•~❉᯽❉~•──◢
บทเสริม
นีล โดนัลด์ วอลช์ คุรุท่านหนึ่งของผู้เขียน
หนังสือทุกเล่มของนีลไม่เพียงแต่ให้ความรู้ แต่ยังเป็นเหมือนแสงนำทางในความมืด เป็นเพื่อนคู่คิดในยามที่เรารู้สึกโดดเดี่ยว และเป็นเสียงกระซิบที่คอยย้ำเตือนให้เรากลับมาหาความรักและความสงบแท้จริงภายในใจ
เส้นทางชีวิตของ นีล โดนัลด์ วอลช์
นีล โดนัลด์ วอลช์ เกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน ค.ศ. 1943 ในเมือง มิลวอกี รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา เขาเติบโตมาในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัดและได้รับการปลูกฝังศรัทธาในศาสนามาตั้งแต่ยังเด็ก แต่เส้นทางชีวิตของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หลังจากวัยเด็กผ่านพ้นไป นีลต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งปัญหาทางการเงิน ชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลว และอุบัติเหตุที่เกือบพรากชีวิตเขาไป
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เขาพบว่าตัวเองกำลังเผชิญกับชีวิตที่ไร้ทิศทาง เขาเคยเป็นคนไร้บ้าน ต้องนอนในเต็นท์ และเก็บขวดพลาสติกเพื่อแลกเงินประทังชีวิต มันเป็นช่วงเวลาที่ความสิ้นหวังปกคลุมจิตใจ และดูเหมือนว่าโลกทั้งใบได้หันหลังให้กับเขา
แต่แล้ววันหนึ่ง ในขณะที่นีลกำลังรู้สึกโกรธและท้อแท้ เขาเขียนจดหมายถึงพระเจ้า — ไม่ใช่จดหมายธรรมดา แต่เป็นจดหมายที่เต็มไปด้วยคำถาม คำถามที่ลึกซึ้งและเจ็บปวดเกี่ยวกับความหมายของชีวิต ความรัก และจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่
สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ นีลได้รับคำตอบกลับมา ไม่ใช่ในรูปแบบของเสียงจากสวรรค์ แต่เป็น “บทสนทนาภายใน” ที่เขาอธิบายว่าเป็นเสียงของพระเจ้า นีลจดบันทึกบทสนทนานี้อย่างละเอียด และในที่สุด มันก็กลายเป็นหนังสือเล่มแรกของเขา — “บทสนทนากับพระเจ้า” (Conversations with God)
หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตของเขาเท่านั้น แต่มันยังเปลี่ยนชีวิตของผู้อ่านนับล้านทั่วโลก ผู้คนมากมายพบแรงบันดาลใจ ความหวัง และความสงบจากคำสอนในหนังสือเล่มนี้ นีลกลายเป็นนักเขียนระดับโลก และงานเขียนของเขาถูกแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 30 ภาษา
บทเรียนจากเส้นทางชีวิตของนีล
ชีวิตของ นีล โดนัลด์ วอลช์ เชื่อว่า ความมืดมิดที่สุดในชีวิตมักนำพาเราไปสู่แสงสว่างที่เจิดจ้าที่สุด เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักบุญหรือผู้วิเศษ แต่เขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่กล้าถามคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และกล้าที่จะฟังคำตอบอย่างตั้งใจ เราทุกคนสามารถเชื่อมต่อกับ "พระเจ้า" หรือ "พลังสูงสุด" ได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง เพราะพระเจ้าหรือพลังอันยิ่งใหญ่นั้นอยู่ภายในใจของเราทุกคน
หนังสือทุกเล่มของเขาเป็นเหมือนประตูที่เปิดไปสู่ความเข้าใจอันละเียดอ่อนเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ความสัมพันธ์กับพระเจ้า และความจริงอันเรียบง่ายที่ว่า “ความรักคือคำตอบของทุกสิ่ง”
ผลงานอันทรงคุณค่าของนีล โดนัลด์ วอลช์
- Conversations with God (บทสนทนากับพระเจ้า) เล่ม 1-3
- Friendship with God (มิตรภาพกับพระเจ้า)
- Communion with God (การสื่อสารกับพระเจ้า)
- The Only Thing That Matters (สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด)
- Happier than God (ความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า)
- What God Said (สิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้)
- When Everything Changes, Change Everything (เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนแปลง จงเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง)
- Home with God (กลับบ้านสู่พระเจ้า)
- Tomorrow's God (พระเจ้าของวันพรุ่งนี้)
- The Storm Before the Calm (พายุที่มาก่อนความสงบ)
นีลไม่ได้เป็นเพียงนักเขียน แต่สำหรับเรา เขาคือ ผู้นำทางแห่งจิตวิญญาณ ที่ช่วยให้เรามองเห็นความจริงที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
“เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า”
0 comments